บทที่ 7 ตอนนี้เสียใจ สายเกินไปแล้ว
เขาพูดเย้ยหยันอย่างเย็นชาขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าไม่มีเงินแล้ว คุณคิดว่าไอ้หน้าอ่อนข้างนอกนั่นจะยังเชื่อฟังคุณอยู่ไหม อย่าว่าแต่จะแตะต้องตัวคุณเลย แค่มองเขาก็ไม่มองคุณด้วยซ้ำ”
“ชาลส์ คุณมันสารเลว!”
สีหน้าของพิมพ์รวีเปลี่ยนไปทันที ผู้ชายเฮงซวยคนนี้กล้าดียังไงมากล่าวหาเธอกลับ
“อย่าลืมสิว่าคุณเองก็นอกใจฉันก่อนเหมือนกัน เลิกสาดโคลนใส่ฉันได้แล้ว การแบ่งสินสมรสควรจะเป็นเท่าไหร่ก็ต้องเป็นเท่านั้น ถ้าขาดไปแม้แต่สลึงเดียว ฉันสู้ตายกับคุณแน่”
ล้อเล่นหรือไง
สามปีมานี้เธอไม่เคยซื้อของแบรนด์เนมสักชิ้น ตอนกลางคืนที่เขาไม่กลับบ้าน เธอก็ประหยัดแม้กระทั่งค่ากับข้าว
อาศัยอำนาจอะไรมาบอกว่าจะไม่ให้เงินสักสลึงเดียวแล้วก็จะไม่ให้จริงๆ
เขาอยากจะเก็บเงินทั้งหมดไว้ให้คุณอินทิราใช้เหรอ ฝันไปเถอะ
“แล้วอีกอย่าง ต่อให้ฉันไม่มีเงิน แต่ฉันก็ยังมีเงินพอที่จะฟ้องหย่ากับคุณได้! การหย่าครั้งนี้ ฉันหย่าแน่!”
เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงของเธอ สีหน้าของชาลส์ก็ยิ่งมืดครึ้มลงไปอีก
แรงที่มือก็เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ เขาก็หัวเราะเยาะขึ้นมาทันที “งั้นเหรอ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าตอนนี้คุณไม่มีปัญญาแม้แต่จะจ่ายค่าห้องนี้ด้วยซ้ำ?”
พิมพ์รวีเจ็บคางที่ถูกบีบจนแสบไปหมด ดวงตาแดงก่ำจ้องมองไปที่ชายคนนั้น พลางส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ
เขามองใบหน้าเล็กๆ ที่ไม่ยอมแพ้ซึ่งอยู่ใต้ร่างของเขา ที่แต่งหน้าอย่างประณีตงดงามซึ่งปกติแล้วเธอไม่เคยแต่ง
ไหนจะเรือนร่างงดงามที่บิดไปมาไม่หยุดนั่นอีก…
แววตาคมกริบดำสนิทของชายหนุ่มเต็มไปด้วยสัญญาณอันตราย
ปกติเวลาอยู่ที่บ้านแทบจะเปลือยหน้าสดทุกวัน
แต่พอพูดเรื่องจะหย่ากับเขาขึ้นมา ไม่เพียงแต่หัดแต่งหน้า แต่ยังหัดใส่เสื้อผ้าแบบนี้เพื่อยั่วผู้ชายอีก
เธอเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ทำไมเขาถึงไม่เคยสังเกตเห็นเลย
ในจังหวะที่ชายหนุ่มกำลังเผลอ พิมพ์รวีก็ผลักเขาออกไปอย่างแรง
เธอกระชับเสื้อคลุมบนตัวให้แน่น แล้วเว้นระยะห่างจากเขา
ก่อนจะพูด เธอลูบคางและแก้มของตัวเองเบาๆ “ชาลส์ คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไง คนที่คุณชอบคือคุณอินทิราไม่ใช่เหรอ ฉันขอหย่ามันก็เข้าทางคุณพอดีไม่ใช่หรือไง”
สามปีที่ไม่เคยได้รับความรัก ถูกเขามองเป็นอากาศธาตุ พอพูดเรื่องมีลูกก็ทำเหมือนจะไปฆ่าเขาให้ตายอย่างนั้นแหละ
พอเธอขอหย่า เขากลับไม่พอใจซะงั้น
จะต้องอีโก้สูงไปถึงไหนกัน
ยังจะมาบอกว่าฉันไม่มีเงินจ่ายค่าห้องอีก เขาคงไม่คิดว่าถ้าไม่มีเขาแล้วฉันจะอยู่ไม่ได้หรอกนะ
พิมพ์รวีไม่สนใจชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังเลยแม้แต่น้อย เธอแค่นเสียงเย็นชาแล้วเดินสวมส้นสูงออกจากห้องไป
พอมาถึงล็อบบี้ก็ถูกผู้จัดการขวางไว้
“คุณพิมพ์ครับ ถ้าคุณผู้หญิงจะไป รบกวนชำระค่าห้องก่อนนะครับ”
จากนั้นเมื่อเห็นชายหนุ่มที่เดินตามหลังพิมพ์รวีมา ผู้จัดการก็รีบก้มหน้าลงทันที และเรียกอย่างนอบน้อมว่า “ประธานชาลส์ครับ”
พิมพ์รวีกรอกตา ก่อนจะหยิบบัตรออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ไป
เดิมทีเธอมาเปิดห้องที่โรงแรมนี้แค่ชั่วคราวเพราะนึกสนุกขึ้นมา
แต่ตอนนี้ชาลส์ตามมาเจอ ไม่เพียงแต่จะมาขัดจังหวะ แต่ยังจับคนของเธอไปอีก
เธอยิ่งอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว
ผู้จัดการรับบัตรด้วยสองมือ แล้วนำไปที่เคาน์เตอร์เพื่อรูด
ชาลส์ยืนอยู่ข้างหลังเธอ เสื้อสูทพาดอยู่บนแขน เผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตสีดำด้านใน
ไหล่กว้าง เอวสอบ ขาเรียวยาวดูโดดเด่น
ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นจ้องมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างไม่วางตา
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาหลายคน ต่างก็ถูกดึงดูดโดยไม่รู้ตัว
แต่พิมพ์รวีกลับไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งนั้นเลย
เธอแค่อยากจะรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
ไม่นานผู้จัดการก็ถือบัตรกลับมา “คุณพิมพ์ครับ ต้องขออภัยด้วย บัตรใบนี้ของคุณใช้ไม่ได้ครับ”
พิมพ์รวีชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เธอหยิบบัตรอีกใบออกมาจากกระเป๋า
ก็ยังใช้ไม่ได้
พิมพ์รวีหยิบบัตรทุกใบในกระเป๋าออกมา
แต่ผลคือทั้งหมดถูกปฏิเสธ
บัตรของเธอถูกอายัดทั้งหมด
พิมพ์รวีหันกลับไป ในที่สุดก็ยอมเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่ตามเธอลงมาโดยไม่พูดอะไรสักคำ “เป็นฝีมือคุณใช่ไหม”
บัตรส่วนใหญ่ที่เธอมีตอนนี้เป็นบัตรที่เขาให้มา ส่วนอีกสองใบเป็นของคุณปู่ภรัณยู
ตอนนี้ใช้ไม่ได้สักใบ อย่าบอกนะว่าไม่เกี่ยวกับเขา
ชาลส์ไม่ได้ปฏิเสธ
เขาก้าวขายาวๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ มองเธอจากมุมสูงด้วยสายตาเย็นชา “ใครกันนะที่บอกว่าจะหย่าให้ได้ ก่อนที่คดีจะเริ่ม ผมขออายัดบัตรเสริมของตัวเองก่อน มีปัญหาอะไรไหม”
“หรือว่า คุณคิดว่าผมจะยอมให้คุณเอาเงินของผมไปเลี้ยงไอ้หน้าอ่อนข้างนอกนั่น?”
พิมพ์รวีโกรธจนแทบระเบิด
เธอไม่คิดเลยว่าทายาทตระกูลพูนประสิทธิ์ผู้สูงส่ง และนักธุรกิจชั้นนำรุ่นใหม่ของเมืองเอ จะใช้วิธีการชั้นต่ำแบบนี้มาบีบบังคับให้เธอยอมจำนน
เมื่อนึกถึงตอนที่เขาพูดประโยคนั้นเมื่อครู่ เธอก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที
เธอพูดไม่ออกจนอยากจะหัวเราะ “ชาลส์ คุณคงไม่ได้คิดจริงๆ ใช่ไหมว่าใช้วิธีนี้แล้วจะทำให้ฉันยอมประนีประนอม ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ยอมกลับบ้านไปกับคุณแต่โดยดี?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของชาลส์ก็มืดครึ้มลง เขาไม่คิดว่าเธอจะมีทางหนีทีไล่ที่ไหนอีก “คุณยังจะต้องการอะไรอีก ไม่กลับไปกับผม แล้วคุณจะไปไหนได้”
ตลอดสามปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เธออาละวาด ไม่ใช่ว่าพอเขาให้ทางลงเธอก็ยอมลงแต่โดยดีทุกครั้งหรอกเหรอ
วันนี้ก็คงไม่มีข้อยกเว้น
พูดจบ ชาลส์ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทางคุณปู่ยังรอคำตอบจากเราอยู่ อย่าเสียเวลาเลย”
ในแววตาของเขาไม่ปรากฏความรู้สึกใดๆ เลยแม้แต่น้อย
เขาทำเหมือนกับว่านี่เป็นเพียงเรื่องของการกอบกู้ศักดิ์ศรีความเป็นชายของตัวเองกลับคืนมาเท่านั้น ไม่แม้แต่จะอยากรู้ด้วยซ้ำว่าทำไมเธอถึงอยากหย่า
พิมพ์รวีรู้ดีแก่ใจว่าชาลส์เป็นคนเลือดเย็นและไร้หัวใจมากแค่ไหน
ความรักของเขาไม่ได้อยู่ที่เธอ ต่อให้ผ่านไปอีกสามปีก็ยังคงเหมือนเดิม
เธอรู้สึกว่ามันไร้ความหมายสิ้นดี “ฉันไม่กลับไปกับคุณหรอก เลิกคิดไปได้เลย”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “คุณว่าอะไรนะ”
พิมพ์รวียกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “ความหมายของฉันยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ ชาลส์ ตลอดสามปีนี้คุณทำกับฉันยังไงคุณก็รู้ดีแก่ใจ ตอนนี้คุณอินทิรากลับมาแล้ว คุณก็ทนรอไม่ไหวแม้แต่วินาทีเดียวที่จะไปหาเธอ คุณใช้เธอมาเหยียดหยามฉัน ก็เพื่อที่จะบีบให้ฉันหย่ากับคุณไม่ใช่หรือไง”
“อะไรกันล่ะ พอเรื่องเป็นไปตามที่คุณต้องการ คุณกลับไม่พอใจซะอย่างนั้น หรือว่าคุณอยากให้ฉันกลับบ้านไปเป็นคุณนายที่ไม่ได้รับความรักเหมือนเดิม หรือจะให้ฉันทนดูคุณพลอดรักกับคุณอินทิราทุกวัน ชาลส์ การรังแกฉันมันสนุกมากนักหรือไง”
ชาลส์ขมวดคิ้วมุ่น เขากระชากร่างเธอเข้ามาใกล้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “อย่ามาเล่นละครกับผม ผมไปรังแกคุณตอนไหน”
ถ้าแบบนี้ยังไม่เรียกว่ารังแก แล้วอะไรถึงจะเรียกว่ารังแกล่ะ
แรงของเขาไม่เบาเลย พิมพ์รวีถูกบีบจนรู้สึกเจ็บ
แต่ความเจ็บปวดนี้เทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดจากบาดแผลในใจที่ถูกสะกิดขึ้นมาใหม่
อย่างไรเสียเขาก็คือคนที่เธอเคยรักสุดหัวใจ
แม้จะตัดสินใจแล้วว่าจะไม่รักอีกต่อไป แต่ปฏิกิริยาในใจก็หลอกกันไม่ได้
เธอเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก
“คุณอยากรู้ใช่ไหม งั้นฉันจะบอกให้ สามปีก่อนในคืนแต่งงานของเรา คุณอินทิราโทรมาแค่สายเดียวคุณก็ทิ้งฉันออกไปทันที สามปีต่อมาเธอเดินทางกลับประเทศ คุณก็ทิ้งฉัน ทิ้งงานวันเกิดของคุณปู่เพื่อไปหาเธอ ตระกูลกาญจน์เกิดเรื่องแล้วใช้ชื่อเธอมาขอเงินคุณ คุณก็ให้ไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ยังจะให้ฉันพูดต่ออีกไหม”
คนที่อยู่ในใจของเขาจริงๆ คือคุณอินทิรา ไม่ใช่เธอ
สามปีก่อนเป็นอย่างไร สามปีต่อมาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ดังนั้น เธอจึงตัดสินใจที่จะปล่อยมือ
บรรยากาศเงียบสงัดลงในทันที
ใบหน้าของชาลส์เคร่งขรึม ในแววตามีพายุอารมณ์ซ่อนอยู่ “ผมไม่เคยรู้เลยว่าการแต่งงานกับผมทำให้คุณต้องน้อยเนื้อต่ำใจขนาดนี้ ถึงกับไปสืบเรื่องที่ผมทำมาซะละเอียด”
“แต่คุณก็อย่าลืมสิว่า ตอนนั้นคนที่ถือสัญญาแต่งงานมาที่บ้านเพื่อบีบให้ผมแต่งงานก็คือคุณ ทุกอย่างมันไม่ใช่เพราะคุณเต็มใจเองหรอกเหรอ”
มาเสียใจเอาตอนนี้ มันสายไปแล้ว
